TOEIC (โทอิค) หรือ Test of English for International Communication การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่กลุ่มบริษัทข้ามชาติ หรือองค์กรที่จำเป็นต้องเฟ้นหาบุคลากรที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ อาทิ สายการท่องเที่ยวการโรงแรม สายงานดูแลลูกค้าต่างประเทศ หรืองานสายการบิน เป็นต้น ใครที่สายงานเฉพาะอื่น ๆ หรือเห็นว่า การใช้ภาษาอังกฤษอาจไม่ค่อยจำเป็น อาจจะมองข้ามการสอบนี้ไปได้ แต่หากต้องทำงานที่ใช้ภาษา หรืออยากหาโอกาสในการทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติเพื่อเติบโตใน career path ละก็ TOEIC อาจเป็นใบเบิกทางหนึ่งใบที่คุณตามหาเลย เพราะกับบางที่ คะแนนโทอิคดีก็มีทางให้อ้าแขนรับ แถมอาจเพิ่มค่าภาษามาให้ในเงินเดือนซะด้วย คราวนี้เรามาดูความสำคัญของ TOEIC กัน
สำหรับน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษา การสอบ TOEIC อาจยังไม่ได้จำเป็นกับทุกคน แต่อาจจะเหมาะสำหรับน้องนักเรียนวัยมัธยมที่อยากขอทุนเรียนต่อต่างประเทศ อยากฝึกงานช่วงปิดเทอมกับบริษัทหรือหน่วยงานที่ใช้ภาษาเป็นหลัก (ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละหน่วยงานว่าต้องการคะแนนการวัดระดับภาษาประเภทใดบ้าง) ส่วนในระดับนักศึกษานั้น ปัจจุบันมีบางคณะจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันระดับอุดมศึกษาหลายแห่งที่อาจต้องการให้นักศึกษายื่นคะแนน TOEIC ก่อนรับใบจบการศึกษา เพื่อให้แน่ใจว่า ระดับภาษาเหมาะสมกับตลาดแรงในปัจจุบัน
ใครก็ตามที่ทำงานสายภาษาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นล่าม นักแปล งานที่ต้องร่วมติดต่อต่างประเทศอย่างสายการบิน การโรงแรมเรื่องโทอิคไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคุณแน่ ๆ แต่ใครที่เริ่มสนใจอยากท้าทายตัวเองไปทำงานในบริษัทข้ามชาติ องค์กรที่มีผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานเป็นชาวต่างชาติ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนั้นล่ะก็ การวัดระดับนี้ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ช่วยเปิดโอกาส เปิดทางให้ได้เพิ่มประสบการณ์การทำงานกับชาวต่างชาติ ซึ่งบางแห่งก็ค่อนข้างให้ค่าตอบแทนที่สูง ตามประสบการณ์และคุณสมบัตด้านภาษาอังกฤษที่คุณมีด้วย
ในการสอบ TOEIC ปัจจุบันมี 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
1. TOEIC Listening and Reading
การสอบสุดคลาสสิกของ TOEIC ที่มีมาเก่าแก่ยาวนาน และส่วนใหญ่ หลากหลายองค์กรก็จะวัดผลจากการสอบประเภทนี้เท่านั้น โดยจะมีลักษณะการสอบเป็นแบบปรนัย หรือ multiple choice จำนวน 200 คำถาม แบ่งเป็น 100 คำถามในแต่ละส่วน แบ่งดังนี้
แต่ละ section จะมีคะแนนเต็มเริ่มต้น 5 ถึง 495 คะแนน รวมคะแนนเต็มทั้งหมด 990 คะแนน โดยเราต้องไปทำการสอบที่สนามสอบโทอิคซึ่งมีสองแห่งคือ กรุงเทพฯ และเชียงใหม่
2. TOEIC Speaking and Writing
การสอบรูปแบบใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง เพื่อทดสอบความสามารถด้านการพูดและการเขียน โดยจะเป็นการสอบในรูปแบบออนไลน์ รวมทั้งหมด 400 ข้อ
3. TOEIC Bridge
เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มต้น มักจะนำมาใช้ในหน่วยงาน หรือสถานศึกษาภายในเพื่อช่วยชี้จุดอ่อนจุดแข็ง ต่อยอดเป็นการพัฒนาทางภาษามากกว่า ทดสอบเพื่อวัดระดับ โดยจะเน้นการฟัง การอ่าน การใช้ภาษา และการใช้ศัพท์ ดังนั้นจึงเป็นแบบทดสอบที่ง่ายกว่า สองประเภทข้างต้น
โดยผลการสอบ TOEIC (โทอิค) จะมีอายุการใช้งานเป็นเวลา 2 ปี หากเกิน 2 ปีแล้ว หน่วยงานบางแห่งอาจมองว่าผลสอบนั้นเป็นโมฆะ
นอกจากควรรู้ว่าการฟัง พูด อ่าน เขียน ส่วนไหนที่เป็นจุดแข็งจุดอ่อนของเราและฝึกฝนส่วนนั้นอย่างสม่ำเสมอแล้ว ในการทำข้อสอบที่มีเวลาจำกัด โดยเฉพาะส่วนการฟังนั้น เรายิ่งควรมีสมาธิและอาจมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ในการสอบมากมาย
1. การฟัง
นอกจากจะควรฝึกหูให้คุ้นชินกับภาษาอังกฤษเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ควรทดลองฟังข้อสอบเก่า ๆ ให้ออกภายในครั้งเดียวพร้อมการจับเวลาเสมือนอยู่ในห้องสอบจริงไปด้วย ซึ่งความรวดเร็วของเวลานั้น ในช่วงที่มีเวลา ควรอ่านคำถามคำตอบคร่าว ๆ เพื่อให้พอเข้าใจเรื่องที่จะฟังก่อน เมื่อถึงเวลาตอบคำถามจริง บางข้ออาจทำให้เราลังเล แนะนำว่าควรตอบที่คิดว่าใช่ไปเลย อย่ารีรอจนทำให้ไม่ทันฟังเสียงในข้อถัดไป
2. การอ่าน
ฝึกการอ่านแบบ skimming และ scanning วิธีนี้จะช่วยให้เราหาจุดสำคัญหรือคีย์เวิร์ดภายในบทความด้วยความรวดเร็ว และพอเข้าใจหัวข้อหลักว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร นอกจากนี้ในการสอบส่วนการอ่าน แม้จะมีเวลาให้มากกว่าส่วนของการฟัง แต่หลายคนกลับขาดคะแนนไปเพียงเพราะทำไม่ทัน ดังนั้นพยายามทำข้อที่คิดว่าทำได้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับก่อนหลัง และหากสุดท้ายไม่ทันจริง ๆ ก็ควรทำทุกข้อให้ครบจะเป็นประโยชน์กว่า
ปฏิทินสอบ TOEIC 2023/2566 >> คลิกเลย
เรียนรู้เนื้อหาและเทคนิคการทำข้อสอบเพิ่มเติมได้ที่คอร์ส TOEIC BASIC 500+ by ครูพี่อิ๋ง
สอนตั้งแต่พื้นฐานระดับ 0 ไปจนถึงคนที่มีพื้นฐานอยู่แล้วที่ต้องการคะแนนเกิน 500+ ทำโจทย์เสมือนจริงครบทุกพาร์ท เข้าใจง่าย ใช้เวลาสั้น สมัครเรียนเลย คลิก >> https://vcourse.ai/courses/239
ที่มาข้อมูล